เมนู

2. ทุติยชนสูตร



ว่าด้วยที่พึ่งในภพหน้า



[492] ครั้งนั้น พราหมณ์ 2 คน แก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วงมัชฌิมวัย
ถึงปัจฉิมวัยอายุไค้ 120 ปีแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้า
ไปถึงแล้ว ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง
พราหมณ์ทั้ง 2 นั้น นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่า ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ ข้าพระเจ้าเป็นพราหมณ์ แก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วง
มัชฌิมวัยถึงปัจฉิมวัยอายุได้ 120 ปีแล้ว ยังมิได้ทำความดี ยังไม่ได้สร้างกุศล
ยังไม่ทำที่ป้องกันภัย ขอพระโคดมผู้เจริญทรงโอวาทข้าพระเจ้า ขอพระโคดม
ผู้เจริญทรงพร่ำสอนข้าพระเจ้า ซึ่งจะพึงเป็นเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข
แก่ข้าพระเจ้า สิ้นกาลนานเถิด.
จริงแล้ว พราหมณ์ ท่านแก่เฒ่า ฯลฯ ยังไม่ทำที่ป้องกันภัย แน่ะ
พราหมณ์ โลกนี้อันชราพยาธิมรณะไหม้แล้ว เมื่อโลกอันชราพยาธิมรณะไหม้
อยู่อย่างนี้ ความสำรวมทางกาย ทางวาจา ทางใจ อันใดในโลกนี้ ความสำรวม
อันนั้นเป็นที่ต้านทาน ที่เร้น (ภัย) เป็นที่เกาะที่อาศัย เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ของบุคคล (ผู้สำรวม) ผู้ละ (โลกนี้) ไปแล้ว.
ครั้นเมื่อเรือนถูกไฟไหม้ เจ้าของ
ขนของสิ่งใดออกได้ ของสิ่งนั้นก็เป็น
ประโยชน์แก่เจ้าของ ส่วนของที่ไม่ได้ขน
ออกก็ไหม้อยู่ในนั้น.

ฉันเดียวกัน ครั้นเมื่อโลกอันชรา-
มรณะไหม้อยู่อย่างนี้แล้ว ชาวโลกพึงขน
ออกด้วยการให้ทานเถิด สิ่งที่ให้เป็นทาน
ไปแล้ว จัดว่าได้ขนออกอย่างดีแล้ว
ความสำรวมทางกายทางวาจาทางใจ
อันใดในโลกนี้ คือเมื่อยังเป็นอยู่บุคคลอยู่ได้
ทำบุญอันใดไว้ บุญอันนั้นย่อมเป็นไปเพื่อ
ความสุขแก่เขาผู้ละ (โลกนี้) ไป.

จบทุติยชนสูตรที่ 2

อรรถกถาทุติยชนสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในทุติยชนสูตรที่ 2 ดังต่อไปนี้:-
บทว่า ภาชนํ ได้แก่ ภัณฑะอย่างใดอย่างหนึ่ง. บทที่เหลือพึงทราบ
ตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว ในสูตรที่ 1.
จบอรรถกถาทุติยชนสูตรที่ 2